เกมแนว MOBA ทั่ว ๆ ไปมักจะใช้เม้าส์ในการบังคับการเคลื่อนไหวตัวละคร หรือการเก็บ Item แต่ในเกม Smite ที่เป็นผลงานจากค่าย Hi-Rez Studios ทำให้การบังคับแตกต่างออกไป โดยการใช้ตัวอักษรบนแป้น Keyboard อย่าง WASD เข้ามาแทนที่การใช้เม้าส์ โดยการสร้างตัวละครในเกม มีการอ้างอิงมาจากเทพเจ้าต่าง ๆ และมีอาชีพให้เลือกเล่นทั้งหมด 5 อาชีพ ได้แก่ Mage, Hunter, Assasin, Guardian และ Warrior
– ระบบ Gameplay
ในเกม Smite เราจะยังไม่ได้ลงสนามจริงจนกว่าจะเล่นโหมดฝึกหัดจบ ซึ่งถือว่าเป็นข้อดี ที่จะทำให้เราเข้าใจกติกาการเล่นมากขึ้น และเมื่อเราเล่นจบแล้วไปลงสนามจริง เราก็จะเจอกับระบบการเล่นที่หลากหลาย และในแต่ละระบบนั้นก็จะเป็นการสุ่มจับคู่กัน ระหว่างผู้เล่นคนอื่น ๆ แต่ถ้าเราอยากเล่นกับเพื่อนที่รู้ใจมากกว่าก็สามารถสร้างห้องเองแบบชิลล์ ๆ ได้เลย
หลังจากเข้าใจตัวเกม Smite ดีแล้ว เราจะได้เลือกเล่นเทพเจ้า 1 ใน 10 แบบฟรี ๆ แต่ว่าจะแบ่งออกเป็น 6 ตัวละครพื้นฐาน ส่วนอีก 4 ตัวละครที่เหลือจะเป็นแบบหมุนเวียนทุกสัปดาห์ให้เราได้ทดลองเล่น เพื่อดูว่าเราจะชอบการเล่นสไตล์ไหน ถ้าอยากได้ก็แค่กดซื้อไปเลย แต่ว่าจะซื้อแบบเติมเงิน หรือจะใช้เงินในเกมซื้อมาก็ได้ แต่ว่าอาจจะต้องรอนานนิดนึง เพราะว่าราคาของแต่ละอย่างก็แพงเอาเรื่องอยู่
มาพูดถึงเรื่องของ Item กับการอัพเกรดกันบ้าง เพราะว่าในเกม Smite ก็ยังคงมีระบบนี้อยู่เช่นกัน โดยเราสามารถกำหนดได้ว่าเราจะทำการอัพเกรดเอง หรือว่าจะทำการอัพเกรดแบบ Auto ก็ได้ ซึ่งปกติแล้วตัวละครมักจะมีสกิลติดตัวอยู่แล้ว ถ้ายิ่งได้รับการอัพเกรดก็จะยิ่งทำให้เก่งขึ้นไปอีก
– การออกแบบภาพกราฟิก และองค์ประกอบอื่น ๆ
ภาพใน Smite ออกแนวการ์ตูนแฟนตาซี กึ่ง ๆ 3D ดูแล้วเพลินตา เหมือนกำลังดูการ์ตูนไปในเวลาเดียวกันกับการเล่นเกม และถึงแม้เมนูต่าง ๆ ใน Smite จะมีมากมาย แต่ว่าก็มีการแบ่งแยกได้ชัดเจนว่าเมนูไหนใช้ทำอะไร เช่น การแจ้งข่าวสาร, ร้านค้า, คลัง ซึ่งเราจะไม่ต้องสับสนเลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน เพราะว่าเข้าใจง่ายมาก
– สรุป
ใครที่ชื่นชอบเกมแนวเทพเจ้า Smite คือ หนึ่งในเกมที่ควรลองเล่น เพราะว่ามีรูปแบบที่หลากหลาย แถมตัวละครแต่ละตัวก็มีสกิลที่โดดเด่นไม่แพ้กัน แถมระบบการเล่นก็เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ยิ่งอยู่ในรูปแบบที่ทำออกมาผสานกันได้อย่างลงตัวแล้วนั้น ยิ่งไม่ควรพลาดใหญ่เลย
ขอบคุณภาพจาก : sanook.com
#Esport #แข่งDota2 #แข่งPubg #แข่งROV #ReviewGame #Smite